วันอาทิตย์, พฤษภาคม 19, 2024
spot_img
หน้าแรกภาพข่าวสังคมการเมืองJASAD ยื่นข้อเสนอแนะต่อกรรมาธิการฯสันติภาพ

JASAD ยื่นข้อเสนอแนะต่อกรรมาธิการฯสันติภาพ

JASAD ยื่นข้อเสนอแนะต่อกรรมาธิการฯสันติภาพ พรรคก้าวไกล / กมธ.นิรโทษกรรม พรรคประชาชาติ และพรรคเป็นธรรม ในการพิจารณานิรโทษกรรมผู้กระทำผิดจากความขัดแย้งทางการเมืองในปาตานี/ชายแดนใต้

ความขัดแย้งที่รุนแรงในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ที่ได้ปะทุขึ้นเมื่อปี 2547 และต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 20 ปีเต็ม โดยตั้งแต่ปี 2547 – 2564 มีเหตุการณ์ความรุนแรงเกิดขึ้นทั้งหมดประมาณ 21,328 เหตุการณ์ ส่งผลให้เกิดการสูญเสียชีวิตทั้งหมด 7,314 ราย บาดเจ็บ 13,584 ราย รวมผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต 20,898 ราย สถิติเหล่านี้นับว่าเป็นการสูญเสียจากเหตุความขัดแย้งรุนแรงสูงที่สุดในประเทศไทย

แม้ในระยะหลังจากที่มีการตั้งโต๊ะพูดคุยสันติสุข หรือเจรจาสันติภาพ และข่าวเกี่ยวกับเหตุกาณ์รุนแรงในพื้นที่ดูเหมือนว่าเริ่มลดลง หากความจริงยังคงมีความรุนแรงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในขณะที่มีการพูดคุยสันติสุขหรือเจรจาสันติภาพระหว่างตัวแทนฝ่ายไทย กับขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปาตานีหรือ BRN การปิดล้อมตรวจค้นจนเกิดการปะทะโดยเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรมถือว่าเป็นการใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกระบวนการยุติธรรม ทำให้เกิดการสูญเสียนับตั้งแต่ปี 2563 – 2566 เกิดเหตุการณ์ปิดล้อมปะทะ เกิดการใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกระบวนการยุติธรรมจนเกิดการเสียชีวิตจำนวน 29 ครั้ง เจ้าหน้าที่เสียชีวิตขณะปะทะ 5 นาย บาดเจ็บขณะปะทะ 17 นาย ฝ่ายที่ติดอาวุธต่อสู้กับรัฐเสียชีวิต 58 ราย

นอกจากนั้น ภายใต้โครงสร้างตามระบบกฎหมายปกติและตามรัฐธรรมนูญ นอกจากไม่สามารถขจัดปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ที่ดำรงอยู่ได้ ผู้ที่แสดงออกซึ่งความคิดความเห็นเพื่อให้ปรับปรุงเปลี่ยนโครงสร้างในทางการเมืองให้เหมาะสมกับลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ ศาสนาและวัฒนธรรมอันเป็นอัตลักษณ์ของประชาชนในพื้นที่จำนวนมากยังถูกดำเนินคดีอีกด้วย จากข้อมูลข้างต้นกลับสวนทางกับเนื้อหาที่กำลังดำเนินการในกระบวนการพูดคุยสันติสุขที่มีข้อเสนอในเรื่องสิทธิและเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองซึ่งมีส่วนสัมพันธ์กับข้อเสนอ 3 สารัตถะของกระบวนการพูดคุยประเด็นที่เกี่ยวกับ การลดความรุนแรง การแสวงหาทางออกทางการเมือง และการปรึกษาหารือสาธารณะ ยังคงมีมาตรการปิดล้อมตรวจค้นการบังคับใช้กฎหมายความมั่นคงทั้ง 3 ฉบับ การใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการยุติบทบาทของนักเคลื่อนไหว หรือนักกิจกรรมทางการเมืองในพื้นที่ เช่น กรณีการรวมตัวแต่งกายชุดมลายูเมื่อปี 2565 การระดมทุนเพื่อช่วยเหลือครอบครัวที่เจ้าหน้าที่ใช้ความรุนแรงที่อยู่นอกกระบวนการยุติธรรม เป็นต้น

เงื่อนไขเหล่านี้เป็นการเริ่มดีกรีของความขัดแย้งให้ยิ่งร้อนแรงขึ้นในพื้นที่ เป็นบทเรียนที่สำคัญที่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตยต้องทบทวนการออกนโยบาย การใช้งบประมาณภาษีของประชาชนเพื่อการแก้ไขปัญหาทางการเมืองในพื้นที่ การเลือกตั้งครั้งล่าสุดปี 2566 ทำให้การจัดตั้งรัฐบาลดูมีความหวังในความเป็นประชาธิปไตยเพิ่มขึ้น กระแสนิรโทษกรรมผู้ร่วมชุมนุมที่มีต้นเหตุจากการเมือง การเคลื่อนไหวของพรรคการเมือง และนักเคลื่อนไหวเริ่มขยับยื่นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมผ่านกลไกรัฐสภา หลังจากที่สภาผู้แทนราษฎรมีความเห็นชอบตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม ประชาชนที่ถูกดำเนินคดีจากการใช้เสรีภาพในการแสดงออก การชุมชน คดีทางการเมือง นับว่าเป็นการเปิดประเด็นการถกเถียงที่อาจก่อให้เกิดการเปลี่ยนการเมืองที่เกิดจากความชิงชัง ไม่เข้าใจกัน เป็นจุดเริ่มต้นสร้างบรรยากาศทางการเมืองด้วยความปรารถนาดี

นายอับดุลเลาะ เงาะ ตัวแทนกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากกฎหมายพิเศษ กล่าวว่า เมื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ฉบับต่างๆ รวมทั้ง ฉบับที่ยื่นโดยพรรคก้าวไกล และร่างฉบับประชาชน มีการกำหนดเหตุและวันเวลาของผู้จะได้รับการนิรโทษกรรม เฉพาะจากการเข้าร่วมเดินขบวนและชุมชนประท้วงทางการเมือง ที่เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2549 จนถึงวันที่พระราชบัญญัติมีผลบังคับใช้ตามความเข้าใจของอดีตผู้ต้องขังคดีการเมืองปาตานี/ชายแดนใต้ (คดีความมั่นคง) นักเคลื่อนไหวทางการเมือง นักกิจกรรมภาคประชาชน นักกฎหมายในพื้นที่ ถึงกรณีคดีที่เกิดขึ้นในพื้นที่ไม่ได้รวมเข้าไปในหลักเกณฑ์ในการที่จะได้รับพิจารณานิรโทษกรรม จึงได้มีพบปะเพื่อรับฟังความคิดเห็นและจัดทำข้อเสนอต่อคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม รัฐบาล พรรคการเมืองและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร เกี่ยวกับการพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับต่างๆ รวมทั้งฉบับของพรรคก้าวไกล และฉบับประชาชน เพื่อลดความขัดแย้งและความรุนแรงในพื้นที่และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่กระบวนการสันติภาพ ดังนี้

1.การนิรโทษกรรมผู้ที่กระทำผิดเนื่องจากความขัดแย้งทางการเมือง จะต้องรวมถึงความขัดแย้งในจังหวัดชายแดนใต้ นับตั้งแต่กรณีปล้นปืนค่ายปิเหล็ง จังหวัดนราธิวาส ในปี พ.ศ. 2547 เป็นต้นมาจนถึงวันที่พระราชบัญญัตินิรโทษกรรมมีผลบังคับ

2.คดีที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้ ที่ควรได้รับการนิรโทษกรรม รวมทั้ง 2.1 คดีผู้ที่กระทำผิดฐานฝ่าฝืนหรือถูกควบคุมตัวตามพระราชบัญญัติกฎอัยการศึก พ.ศ.2457 2.2 คดีที่ผู้กระทำความผิดฐานฝ่าฝืนหรือถูกควบคุมตัวหรือมีหมายจับตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. 2548 2.3 ผู้กระทำผิดฐานฝ่าฝืนพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551 2.4 คดีผู้กระทำผิดในข้อหาต่างๆเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกในทางการเมือง ทางวัฒนธรรม โดยการกระทำหรือความคิดเห็นลักษณะ วิธีการและช่องทางการสื่อสารต่างๆ รวมการรวมตัวกันสวมชุดมลายูของเยาวชนมลายูในพื้นที่เมื่อปี 2565 เป็นต้น 2.5 คดีพิจารณาและตัดสินโดยศาลทหาร ซึ่งจำเลยในคดีไม่ได้รับสิทธิและการพิจารณาคดีที่เป็นธรรม (Fair Trail) 2.6 คดีที่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาหรือดำเนินคดีในข้อหาความผิดอื่นๆ เนื่องจากมูลเหตุความขัดแย้งทางการเมืองในจังหวัดชายแดนใต้เช่น ข้อหาอั้งยี่ ซ่องโจร เป็นสมาชิกหรือเกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดน กบฏ ก่อความไม่สงบ ยกเว้นข้อหาที่เกี่ยวกับการทำร้ายร่างกาย ฆ่าปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์และความรุนแรงอื่นๆทางกายภาพ

3. ในระหว่างที่การนิรโทษกรรมอยู่ระหว่างการพิจารณาและยังไม่มีผลบังคับ 3.1 รัฐบาลควรกำหนดมาตรการเพื่อยุติหรือชลอการดำเนินคดีต่อผู้ต้องหาหรือจำเลยในความผิดดังกล่าวข้างต้นไปก่อน 3.2 รัฐบาลควรยุติการจับกุมและควบคุมตัวบุคคลตามกฎหมายพิเศษทุกกรณีจึงจำเป็นต้องหยิบยกกรณีความขัดแย้งในพื้นที่ปาตานี/ชายแดนใต้ คดีการเมืองปาตานี/ชายแดนใต้หรือที่ถูกเรียกว่า “คดีความมั่นคง” ให้ได้รับการพิจารณาวินิจฉัยการกระทำความผิดเพื่อรับการนิรโทษกรรมเพื่อผลักดันให้กระบวนการสันติภาพเดินหน้า และเกิดสันติภาพที่ยั่งยืนต่อไป

พื้นที่โฆษณา

RELATED ARTICLES

Most Popular

Recent Comments